Last updated: 22 พ.ค. 2566 | 788 จำนวนผู้เข้าชม |
กระเป๋าหลุยส์วิตตองรุ่น “Speedy” เป็นหนึ่งในรุ่นที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุด เปิดตัวครั้งแรกในปี 1930 ด้วยรูปทรงที่สะดุดตา มีขนาดและทำจากวัสดุที่หลากหลาย แน่นอนว่าคลาสสิกที่สุดต้องยกให้กับ Monogram Speedy โดยรุ่นออริจินัลมีการออกแบบให้มีหูจับหนังแบบกลมด้านบน ส่วน Speedy Bandouliere จะมีสายสะพายไหล่แบบถอดได้ จึงถือได้ว่า Speedy เป็นกระเป๋าซิตี้แบ็กที่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และเป็นกระเป๋าที่คนรักหลุยส์วิตตองทุกคนจะต้องมี
อีกหนึ่งรุ่นคลาสสิกที่ขึ้นแท่นกระเป๋าในตำนานของหลุยส์วิตตอง คือ “Neverfull” ต้นแบบกระเป๋าโท้ตที่ใครๆ ก็รู้จัก เปิดตัวครั้งแรกในปี 2007 และตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นหนึ่งในกระเป๋าหลุยส์วิตตองที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยลวดลายของรุ่นนี้มีทั้ง Monogram, Damier, Epi Leather และยังมีรุ่น Limited Edition ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ Neverfull เป็นที่นิยมทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงเพราะดีไซน์เหนือกาลเวลาที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ด้วยขนาดกระเป๋าที่ใหญ่และมีพื้นที่จุมากพร้อมให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง จึงถือเป็นกระเป๋าที่ยอดเยี่ยมสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน
"Alma" กระเป๋าทรง Domed Shape อีกรุ่นคลาสสิกจากหลุยส์วิตตอง ออกแบบโดย Gaston-Louis Vuitton เปิดตัวในปี 1934 โดยเชื่อกันว่าเป็นกระเป๋าสั่งทำพิเศษเพื่อ Gabrielle Coco Chanel (ปี 1925) ในตอนแรกกระเป๋าถูกตั้งชื่อว่า “The Squire Bag” จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น "Champs-Elysées" และต่อมาก็ลงเอยด้วยชื่อ "Alma" ตามชื่อสะพานสำคัญในกรุงปารีส โดยการออกแบบ Alma ได้แรงบันดาลใจมาจาก Art Deco และมีให้เลือกหลากหลายขนาด โดยในปี 2010 ได้เปิดตัวขนาด BB ซึ่งเป็นไซซ์ที่เล็กที่สุด มาพร้อมกับสายสะพายใช้เป็น Crossbody ได้ นับเป็นอีกรุ่นในตำนานที่คนจดจำได้มากที่สุดและยังคงคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในกระเป๋า New Classic ของหลุยส์วิตตองคือ “Dauphine” เปิดตัวครั้งแรกในปี 1970 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยในปี 2019 ได้มีการเปิดตัวคอลเล็กชั่นครูสจึงทำให้กระเป๋า Dauphine ฟื้นคืนชีพอีกครั้งและได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ไอคอนแฟชั่น ด้วยรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานลาย Monogram และ Reverse Monogram มาพร้อมกับคุณสมบัติต่างๆ เช่น ตัวล็อกแบบแม่เหล็ก สายหนัง และสายโซ่แบบถอดได้ ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายทั้งเรื่องของวัสดุ ขนาด และสีสัน แต่ยังคงคอนเซปต์ความประณีตและหรูหรา ถือเป็นกระเป๋าหลุยส์วิตตองอีกใบสุดคลาสสิกที่ควรค่าแก่การลงทุน
กระเป๋าทรงบักเก็ตรุ่นนี้พาย้อนกลับไปสู่ดีไซน์ในปี 1932 ซึ่ง Gaston-Louis Vuitton พัฒนากระเป๋าที่แข็งแรงและมีสไตล์ตามความต้องการของผู้ผลิตแชมเปญ โดยออกแบบกระเป๋าให้มีน้ำหนักเบา ทนทาน มีความหรูหรา และมีพื้นที่มากพอให้บรรจุขวดแชมเปญได้ 5 ขวดขึ้นไป จนได้เป็นผลงานรุ่น “Noé” ปัจจุบันกระเป๋ารุ่นนี้ผลิตด้วยวัสดุและขนาดที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เด่นแบบดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นรูปทรงเฉพาะตัว พื้นที่กว้างขวาง สายรูดปิดกระเป๋า และมีการปรับแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ในยุคนี้มากขึ้น พร้อมด้วยสายหนังที่สามารถปรับความยาวได้ จึงช่วยให้สะพายไหล่หรือสะพายเฉียงได้สะดวก
ข้อมูลจาก : vogue